จูบใครคิดว่าไม่สำคัญ…แต่คุณรู้หรือไม่ว่า จูบครั้งเดียวเท่านั้นอาจทำคุณสั่นไปทั้งหัวใจ
ก็เป็นเพราะว่าโรคภัยไข้เจ็บในปัจจุบันมันแฝงตัวมามากมายหลายวิธี มีโรคหนึ่งที่คนชอบจูบแบบไม่เลือกควรพีงสังวรเอาไว้ก็คือ โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B) ซึ่งโรคนี้เป็นอาการของการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี โดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น และในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีก็ได้ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองนั่นมีเชื้ออยู่ในร่างกาย แล้วเจ้าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีนี้ก็สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับด้วย
ฟังแล้วอาจจะเริ่มหนาวๆ ร้อนๆ เพราะสามารถติดต่อได้ทาง เลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง เรามาดูกันดีกว่าว่าใคร ลักษณะไหน ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี
พฤติกรรมเสี่ยงไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B)
- การจูบกันจะไม่มีการติดเชื้อ ยกเว้นกรณีที่มีแผลในปากหรือพวกที่ชอบความรุนแรงต้องระวังเป็นพิเศษ
- พวกที่ชอบมีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เพราะเราจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบ อีกทั้งคนเหล่านี้มักเป็นพวกไวไฟ เวลาไฟราคะเข้าจู่โจมแล้วละก็ มักตอบสนองกันทันทีโดยไม่พึ่งถุงยางอนามัย ซึ่งถือว่าอันตรายมากเพราะอาจจะไม่ได้รับแค่เชื้อไวรัสตับอักเสบอย่างเดียว แต่รวมถึงโรคเอดส์ด้วย
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การสักร่างกายโดยใช้เข็มสักหรือสีที่ใช้สัก หรืออุปกรณ์มีคมในการเจาะหูร่วมกับผู้อื่น
- ใช้มีดโกน แปรงสีฟัน ที่ตัดเล็บ ร่วมกัน
- แม่ที่มีเชื้อสามารถถ่ายโอนเชื้อให้ลูกน้อยได้ขณะคลอด และหากแม่มีเชื้อลูกน้อยก็สามารถติดเชื้อได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ในกรณีแม่ที่ให้นมตัวเองกับลูกน้อยก็มีสิทธิ์ถ่ายโอนเชื้อได้เช่นกัน
- การถูกเข็มตำขณะทำงานหรือของมีคมอื่นๆ
- ร่วมรักกับผู้ที่มีเชื้ออยู่แล้ว
- สัมผัสซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจโดนเลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง ผ่านเข้าทางบาดแผลโดยไม่รู้ตัว
วิธีสังเกตอาการจากไวรัสตับอักเสบ บี
วิถีสังเกตอาการนั้นเราสามารถสังเกตได้ดังนี้ คือภายหลังจากที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180 วัน ในรายที่เป็นแบบเฉียบพลันจะเห็นได้ชัดว่าร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง ถ่ายเหลวอยู่เป็นประจำ ประมาณ 4-15 วัน หลังจากนั้นอาการจะชัดขึ้นตัวจะเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อาการที่ว่านี้หากผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันที่ดีจะหายภายใน 1-4 สัปดาห์ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการถึง 6 สัปดาห์ก็เป็นได้
ระยะการทำงานของเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ภายหลังที่ผู้ป่วยได้รับเชื้อแล้ว
- ส่วนมาก 90 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยหายขาด การทำงานของตับจะกลับเข้าสู่สภาพปกติภายใน 10 สัปดาห์และร่างกายมีภูมิคุ้มกันขึ้น
- ผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี HbAg+ แต่การทำงานของตับยังปกติ พวกนี้สามารถติดต่อให้ผู้อื่นได้
- 5-10 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นตับอักเสบเรื้อรัง (Chronic hepatitis) ผู้ป่วยกลุ่มนี้หากเจาะเลือดจะพบการทำงานของตับที่ผิดปกติเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และยังตรวจพบเชื้อตลอด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการอักเสบของตับเป็นระยะๆ บางรายเป็นตับแข็ง บางรายเป็นมะเร็งตับแข็ง
ด้านการวินิจฉัย แพทย์จะเจาะเลือดตรวจการทำงานของตับ และตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบได้ ดังนี้
- ตรวจการทำงานของตับ เพื่อประเมินสถานภาพของตับและความผิดปกติของตับทำให้แพทย์ทราบว่าตับกำลังอักเสบอยู่หรือไม่
- ตรวจหาอัลฟาฟิโตโปรตีน เพื่อเป็นการตรวจหามะเร็งที่ตับ
- การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ เป็นการบอกว่าตับเกิดการอักเสบหรือเป็นมะเร็ง
- การตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นการบอกความรุนแรงของตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับ
การบำบัดรักษาส่วนใหญ่แล้วสามารถหายได้เอง โดยจะต้องการรับการพักผ่อน และรับประทานอาหารที่ไม่มัน การให้ยา Interferon หรือ Lamivudine ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
การปฏิบัติตัวของผู้ป่วย สามารถทำได้ดังนี้ ก่อนอื่นต้องคำนึงถึงการติดเชื้อไปยังบุคคลรอบข้างเสียก่อน แต่ผู้ป่วยก็ไม่ต้องกังวลจนมากเกินไป เพราะผู้ที่ป่วยส่วนมากแล้วจะหายได้เองและมีภูมิคุ้มกันขึ้น โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาและปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด ไปรับการตรวจเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพราะการตรวจเลือดจะทำให้ทราบว่าตับท่านมีการอักเสบมากหรือน้อยเพียงใด
ควรบอกกล่าวคนใกล้ชิดให้ทราบอาการป่วยของท่าน เพราะหากคนใกล้ชิดไม่มีภูมิคุ้มกันหรือเชื้อจะต้องฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัสตับอักเสบ หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ควรใช้ถุงยางอนามัย อย่าบริจาคเลือดโดยเด็ดขาด งดสุราสิ่งเสพติดทุกชนิด อย่าใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ ที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอ